ประวัติและพันธกิจ

เรื่องราวของมูลนิธิฯเริ่มต้นเมื่อคุณโซไรดา ซาลวาลาในวัยเพียง 8 ขวบได้เห็นอุบัติเหตุอันน่าสลดใจของช้างที่ถูกรถบรรทุกชนและนอนเจ็บอยู่ข้างทางโดยไม่มีหนทางช่วยเหลือ เด็กหญิงโซไรดาในขณะนั้นเกิดความสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง เธอไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับช้างและฝันถึงอนาคตที่ดีกว่าสำหรับสัตว์ที่ประเสริฐนี้ ความฝันนี้เองได้พัฒนาจนเป็นวิสัยทัศน์และนำพาเด็กหญิงโซไรดาให้ได้มาเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อนช้าง

ณ วันนี้ที่สุขภาพและสวัสดิภาพของช้างยังเป็นสิ่งที่ถูกละเลย โรงพยาบาลช้างของมูลนิธิเพื่อนช้างพร้อมยื่นมือให้ความช่วยเหลือรักษาและดูแลช้างที่อ่อนแอเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ เพราะหากปล่อยให้ขาดที่พึ่งพิงเช่นนี้ ช้างอีกจำนวนมากคงจะต้องทนทุกข์ทรมานหรือเสียชีวิตลงโดยไม่จำเป็น

ด้วยความร่วมมือจากนายสัตวแพทย์ปรีชา พวงคำ ซึ่งรับมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลช้างของมูลนิธิฯ และได้นำความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการดูแลช้างที่สั่งสมมาตลอดชีวิตติดตัวมาด้วย ทีมงานที่เปี่ยมด้วยความเมตตานี้ร่วมแรงทำงานจนมูลนิธิเพื่อนช้างเป็นที่ยอมรับในเรื่องความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ในการดูแลรักษาช้างป่วยหรือได้รับบาดเจ็บในประเทศไทย มูลนิธิเพื่อนช้างวางมาตรฐานระดับสูงและยังคงบุกเบิกค้นหาวิธีการและเทคโนโลยีในการรักษาช้างอย่างต่อเนื่อง

ความมุ่งมั่นของมูลนิธิเพื่อนช้าง:

  • ช่วยเหลือช้างให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและในที่สุดสามารถดำรงพันธุ์และปรับตัวอยู่ในสภาพธรรมชาติได้
  • ช่วยเหลือผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับช้าง (ผู้เลี้ยงช้าง นักวิจัยช้าง สัตวแพทย์ช้าง) เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับช้าง
  • เผยแพร่ข้อมูลและรายงานสถานการณ์ช้าง ความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับช้างสู่สาธารณชน
  • ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์หรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
  • ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องหรือเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มธุรกิจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์แต่ประการใด

 

ความมุ่งหวัง

เรามีเป้าหมายที่เรียบง่ายคือการให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นแก่ช้างที่ประสบเคราะห์ภัย หากเราวางเป้าหมายสูงสุดไว้ที่การขยายการดำเนินงานนี้สู่ “โครงการบ้านหลังสุดท้ายของช้าง” โครงการนี้จะอุทิศเพื่อให้ช้างที่ไม่มีใครต้องการได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบในเนื้อที่ที่เหมาะสมและพอเพียง

โครงการบ้านหลังสุดท้าย โครงการจัดเตรียมพื้นที่เพื่อเลี้ยงช้างทุกประเภทที่เจ้าของไม่ต้องการ (บ้านหลังสุดท้าย)

ช้างเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด บริโภคธัญพืชและน้ำเป็นอาหาร ถึงวันละ 10% ของน้ำหนักตัวหรือเฉลี่ยประมาณ 200 กิโลกรัม การดูแลให้ช้างมีอาหารเพียงพอต่อความต้องการจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพื้นที่ป่าซึ่งเป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติถูกทำลายลงไปมาก เจ้าของช้างบางรายจึงจำเป็นต้องบริจาคช้างเพื่อลดภาระการเลี้ยงดู หรือขายให้กับนายทุนเพื่อนำไปเช่าเร่ร่อน หรือขายออกนอกประเทศ

มูลนิธิฯ เล็งเห็นถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น จากการที่ช้างป่วย ช้างชรา และช้างที่ถูกใช้งาน จนพิการจะถูกละเลย จึงดำริที่จะจัดเตรียมพื้นที่สำหรับช้างทุกประเภทที่เจ้าของไม่ต้องการ เพื่อนำมาบริบาล มีผู้ดูแลใกล้ชิด และประการสำคัญที่สุด ก็คือ ให้ช้างได้อยู่อาศัยในสภาพธรรมชาติจนสิ้นอายุ สถานบริบาลดังกล่าวจะมีเนื้อที่มากน้อยตามแต่ละภูมิภาคที่จะเอื้ออำนวย ทางมูลนิธิฯ กำลังดำเนินการเพื่อขอใช้พื้นที่ป่าจากกรมป่าไม้ เพื่อนำมาฟื้นฟูระบบนิเวศ ปลูกพืชพันธุ์ที่เป็นอาหารของช้าง และขยายพันธุ์ให้เพียงพอต่อการบริโภค ในพื้นที่บางแห่ง แหล่งน้ำและอาหาร อาจจะไม่สมบูรณ์ โครงการศึกษาวิจัยอาหาร/สมุนไพรของมูลนิธิฯ

(จากโครงการโรงพยาบาลช้าง) จะช่วยให้ได้อาหารเสริม เพื่อให้ช้างได้รับสารอาหารครบถ้วน

อนึ่ง พื้นที่ป่าที่มูลนิธิฯ มีดำริจะขอใช้นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เนื่องจากพื้นที่ป่าสมบูรณ์มีอยู่น้อยและพื้นที่บางแห่งมีราษฎรอาศัยอยู่แล้ว เขตป่าเสื่อมโทรมก็ดูจะเป็นแหล่งเดียวที่จะเข้าไปฟื้นฟูและคงจะเป็นงานที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ด้วยเหตุนี้ แหล่งน้ำจึงเป็นปัจจัยสำคัญของแหล่งที่อยู่อาศัยของช้าง การขอเช่าหรือขอใช้พื้นที่ในบริเวณต้นน้ำชั้นหนึ่งหรือใกล้เคียงคงจะเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม มูลนิธิฯ ก็จะพยายามผลักดันในทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย ที่จะให้ช้างสามารถดำรงพันธุ์และปรับตัวอยู่ในสภาพธรรมชาติได้

องค์กรที่โครงการประสานงาน

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

การให้การสนับสนุนโครงการ

มูลนิธิฯ ต้องการแรงสนับสนุนในด้านเงินทุนที่จะขอเช่าพื้นที่ป่าจากกรมป่าไม้ ทุนทรัพย์ในการฟื้นฟูระบบนิเวศการวิจัยพืชและอาหาร อีกทั้งทุนทรัพย์ในการดำเนินการและค่าใช้จ่าย สำหรับควาญช้างผู้ดูแลช้างในพื้นที่แต่ละแห่ง รวมทั้งสัตวแพทย์, สัตวบาล, ควาญช้างและเจ้าหน้าที่ด้วย

หมายเหตุ โครงการ นี้เป็นโครงการที่มูลนิธิเพื่อนช้างเตรียมการมาเป็นเวลานานตั้งแต่ก่อตั้งใน ปี 2536 แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากยังคงติดขัดด้านงบประมาณและการหาพื้นที่ที่เหมาะสม

แม้จะต้องเผชิญอุปสรรคหลากหลายประการ แต่ “โครงการบ้านหลังสุดท้าย” จะยังคงเป็นเป้าหมายที่มูลนิธิฯตั้งใจจะทำให้สำเร็จลุล่วง ขณะนี้มูลนิธิฯยังคงรอคอยโอกาสอันเหมาะสมที่จะส่งให้เป้าหมายนี้ได้บรรลุผลและเกิดขึ้นเป็นความจริง